Skip to content Skip to footer

ความแตกต่างระหว่างการวัดระดับภาษาอังกฤษในแต่ละประเทศ

ความแตกต่างระหว่างการวัดระดับภาษาอังกฤษในแต่ละประเทศ

การวัดระดับภาษาอังกฤษในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระบบการประเมินที่ใช้และจุดประสงค์ในการวัดระดับ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการศึกษา การทำงาน หรือการตรวจสอบความสามารถทางภาษา มาดูความแตกต่างของการวัดระดับภาษาอังกฤษในแต่ละประเทศที่นิยมใช้กัน: วัดระดับภาษาอังกฤษ

1. Common European Framework of Reference for Languages (CEFR)

CEFR เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยใช้เป็นเครื่องมือวัดระดับความสามารถทางภาษาในยุโรปและหลายประเทศทั่วโลก แบ่งออกเป็น 6 ระดับ:

  • A1: Beginner (เริ่มต้น)
  • A2: Elementary (พื้นฐาน)
  • B1: Intermediate (กลาง)
  • B2: Upper-Intermediate (สูงกว่าเบื้องต้น)
  • C1: Advanced (สูง)
  • C2: Proficient (เชี่ยวชาญ)

ระบบนี้ใช้ในประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และมีการนำไปใช้ในหลายสถาบันการศึกษาและองค์กรระหว่างประเทศ

2. IELTS (International English Language Testing System)

IELTS เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และใช้ในการวัดระดับภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาต่อหรือทำงานในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา

  • คะแนน: ระบบคะแนนอยู่ระหว่าง 1-9 โดยมีระดับ 9 เป็นระดับสูงสุด แบ่งเป็น 4 ทักษะ (ฟัง พูด อ่าน เขียน)

3. TOEFL (Test of English as a Foreign Language)

TOEFL เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษที่ได้รับความนิยมในอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เป็นการทดสอบที่ใช้วัดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมทางวิชาการ

  • คะแนน: TOEFL iBT (Internet-based test) มีคะแนนเต็ม 120 คะแนน โดยแบ่งการทดสอบออกเป็น 4 ส่วน คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน

4. TOEIC (Test of English for International Communication)

TOEIC เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษที่นิยมใช้ในวงการธุรกิจและการทำงานทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศไทย TOEIC วัดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมการทำงาน

  • คะแนน: ระบบคะแนนอยู่ระหว่าง 10-990 คะแนน แบ่งออกเป็นการฟังและการอ่าน

5. Cambridge English Qualifications

การทดสอบภาษาอังกฤษที่พัฒนาโดย Cambridge Assessment English มีหลายระดับและหลายประเภท ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ เช่น KET, PET, FCE, CAE, และ CPE ซึ่งมีความครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับมืออาชีพ:

  • KET (Key English Test): ระดับพื้นฐาน
  • PET (Preliminary English Test): ระดับกลาง
  • FCE (First Certificate in English): ระดับสูงกว่ากลาง
  • CAE (Certificate in Advanced English): ระดับสูง
  • CPE (Certificate of Proficiency in English): ระดับเชี่ยวชาญ

6. GEP (General English Proficiency) ในประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นใช้การทดสอบภาษาอังกฤษในรูปแบบของ GEP เพื่อประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของนักเรียนและบุคคลทั่วไป การทดสอบนี้มุ่งเน้นที่การใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน และการสอบวัดระดับความสามารถภาษาอังกฤษมีการแบ่งระดับเช่นเดียวกับ CEFR

7. Aptis

Aptis เป็นการวัดระดับภาษาอังกฤษที่พัฒนาโดย British Council มีความยืดหยุ่นและใช้งานได้หลากหลาย โดยเน้นการวัดทักษะ 4 ด้าน (ฟัง พูด อ่าน เขียน) คล้ายกับ IELTS แต่มักถูกใช้ในการประเมินภาษาอังกฤษสำหรับองค์กรและสถาบันในหลายประเทศทั่วโลก โดยสามารถปรับให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรต่าง ๆ ได้

8. ระบบการวัดระดับภาษาในประเทศไทย

ในประเทศไทยใช้การวัดระดับภาษาอังกฤษในหลายรูปแบบ ทั้ง TOEIC, TOEFL, IELTS โดยเฉพาะในการสมัครงานและเข้าศึกษาต่อ นอกจากนี้ยังมีการสอบภาษาอังกฤษระดับชาติ เช่น O-NET สำหรับนักเรียนมัธยมที่เป็นการวัดทักษะภาษาอังกฤษในระบบการศึกษาของประเทศ

9. CLB (Canadian Language Benchmarks) ในแคนาดา

แคนาดาใช้ระบบ CLB (Canadian Language Benchmarks) ในการวัดระดับความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของผู้ที่ย้ายถิ่นฐานมายังแคนาดา เป็นการวัดความสามารถในการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง เช่น การสนทนาในชีวิตประจำวันหรือการทำงาน

สรุป

การวัดระดับภาษาอังกฤษในแต่ละประเทศมีความหลากหลายและมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน บางประเทศใช้มาตรฐานระดับสากล เช่น CEFR ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ อาจมีการวัดระดับที่พัฒนาขึ้นเองเพื่อตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะ การเข้าใจระบบการวัดระดับภาษาอังกฤษเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเตรียมตัวและเลือกสอบตามความเหมาะสมกับเป้าหมายของตน

Leave a comment

0