Skip to content Skip to footer

ความสำคัญของ CEFR: วัดระดับภาษาอังกฤษตามมาตรฐานสากล

วัดระดับภาษาอังกฤษ

ความสำคัญของ CEFR: วัดระดับภาษาอังกฤษตามมาตรฐานสากล

ในยุคที่ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อสารในแทบทุกวงการ การวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษอย่างมีมาตรฐานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นี่คือที่มาของ CEFR หรือ Common European Framework of Reference for Languages ซึ่งเป็นกรอบการอ้างอิงระดับความสามารถทางภาษา ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดย CEFR จะช่วยกำหนดระดับภาษาอังกฤษของผู้เรียนได้อย่างชัดเจน และมีความสำคัญอย่างมากในด้านต่าง ๆ ทั้งการศึกษาและการทำงาน

CEFR คืออะไร?

CEFR เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้วัดความสามารถทางภาษาต่างประเทศ ไม่เพียงแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่ง CEFR จะแบ่งระดับภาษาออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่:

  • A1: ระดับเริ่มต้น (Beginner)
  • A2: ระดับพื้นฐาน (Elementary)
  • B1: ระดับกลาง (Intermediate)
  • B2: ระดับกลางสูง (Upper Intermediate)
  • C1: ระดับเชี่ยวชาญ (Advanced)
  • C2: ระดับเชี่ยวชาญสูงสุด (Proficiency)

การจัดระดับเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนมีแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาทักษะทางภาษา ตั้งแต่การฟัง พูด อ่าน และเขียน รวมถึงการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันและสถานการณ์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

ความสำคัญของ CEFR

  1. มาตรฐานการวัดความสามารถทางภาษา CEFR เป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรการศึกษาทั่วโลก เช่น การใช้เพื่อวัดระดับภาษาอังกฤษในข้อสอบมาตรฐานต่าง ๆ เช่น IELTS, TOEFL, TOEIC ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการสอบเหล่านี้สามารถเทียบเคียงกับระดับของ CEFR เพื่อประเมินความสามารถของผู้สอบได้อย่างชัดเจน

  2. การศึกษาและการสมัครงาน ในด้านการศึกษา มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาทั่วโลกมักใช้ CEFR เป็นเกณฑ์ในการรับนักศึกษาต่างชาติ โดยนักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาต่อต่างประเทศมักจะต้องมีผลสอบที่ตรงตามระดับ CEFR ที่กำหนดไว้ เช่น หลายมหาวิทยาลัยอาจต้องการคะแนนภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับ B2 หรือ C1 ขึ้นไป

    สำหรับการสมัครงาน บริษัทและองค์กรนานาชาติก็ใช้ CEFR ในการประเมินทักษะภาษาอังกฤษของพนักงานและผู้สมัครงาน หากผู้สมัครมีความสามารถทางภาษาที่สอดคล้องกับระดับ CEFR ที่กำหนดไว้ ก็จะมีโอกาสในการได้งานหรือก้าวหน้ามากขึ้น

  3. การพัฒนาทักษะภาษาอย่างเป็นระบบ CEFR ไม่เพียงแค่ใช้สำหรับการวัดระดับภาษาเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้เรียนสามารถวางแผนการเรียนรู้ได้อย่างเป็นระบบ โดยผู้เรียนสามารถตรวจสอบว่าตนเองอยู่ในระดับไหน และควรพัฒนาทักษะเพิ่มเติมในด้านใดบ้าง การรู้จักระดับความสามารถของตนเองทำให้สามารถตั้งเป้าหมายและพัฒนาได้ตรงจุด

การวัดระดับ CEFR

CEFR ครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะหลัก ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งการวัดระดับสามารถทำได้ผ่านการทดสอบที่เป็นมาตรฐาน เช่น:

  • IELTS: การสอบภาษาอังกฤษที่วัดทั้ง 4 ทักษะ และผลสอบสามารถเทียบเคียงกับระดับ CEFR ได้ เช่น คะแนน IELTS 5.0-6.5 มักจะตรงกับระดับ B1 หรือ B2
  • TOEIC: การสอบที่เน้นการฟังและการอ่าน โดยคะแนน TOEIC สามารถเทียบได้กับระดับ CEFR
  • TOEFL: การสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษเชิงวิชาการที่มักใช้ในมหาวิทยาลัย ซึ่งผลสอบ TOEFL ก็สามารถเทียบกับระดับ CEFR ได้เช่นกัน

สรุป

CEFR เป็นมาตรฐานที่มีความสำคัญอย่างมากในการวัดระดับภาษาอังกฤษของผู้เรียน โดยช่วยให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการศึกษาและการทำงานระดับสากล ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง หรือนายจ้างที่ต้องการประเมินทักษะภาษา CEFR จะช่วยให้การประเมินระดับภาษาเป็นไปอย่างชัดเจนและเที่ยงตรง

0